โอกาสในวิกฤต มองชีวิตในมุมบวก เอก อนุวัฒ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา ช่างภาพอิสระ ในช่วงวิกฤตโควิด-19 หลายชีวิตต้องเผชิญปัญหาจากการตกงาน ขาดรายได้ ชีวิตถึงจุดเปลี่ยนแบบไม่ทันได้ตั้งตัว เป็นวิกฤตที่ทำให้สภาพสังคมที่เราคุ้นเคยเปลี่ยนแปลงไป การใช้ชีวิตจึงยากลำบากมากขึ้น ในขณะที่หลายๆ คนไม่มีแรงจะสู้ต่อ หลายๆ คนรู้สึกท้อถอย กลับมีคนตัวเล็กๆ คนหนึ่งที่ไม่คิดจะยอมแพ้ ไม่คิดจะหันหลังให้กับอุปสรรคตรงหน้า เขามองแค่ว่าถ้าเขาเข้มแข็งและมองหาโอกาสในวิกฤต อย่างน้อยตัวเขาเองและคนรอบข้างคงพอจะมีความหวัง เพราะเขาเชื่อว่าพลังที่ดีที่สุดในยามนี้คือพลังบวกนั่นเอง ไม่หยุดความคิด พิชิตโอกาสรอบตัว สถานการณ์ชีวิตของคนตัวเล็กแต่ใจสู้กับวิกฤตครั้งนี้ของ ช่างภาพหนุ่ม เอก อนุวัฒ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา คงไม่ต่างจากคนอื่นมากนัก อาชีพช่างภาพเป็นอาชีพแรกๆ ที่ไม่มีงานหมุนเวียนเข้ามาในช่วงวิกฤตโควิด-19 และเป็นเวลาเกือบสองเดือน ที่แทบไม่มีงานให้ถ่ายทำ แต่เอก ก็ไม่ได้ใช้ช่วงเวลานี้หมดเปลืองไปเฉยๆ มันเป็นช่วงเวลาที่เขาได้มองไปรอบตัว ได้อยู่กับตัวเองและครุ่นคิดว่าสิ่งใดบ้างที่เขาจะทำได้ สิ่งใดบ้างที่จะเป็นประโยชน์ต่อตัวเองและครอบครัวที่สุด เอกค้นพบว่าคุณย่าของเขามีสูตรอาหารโบราณแบบฉบับชาววัง ที่เขาเคยกิน แต่คุณย่าไม่ได้ทำบ่อยนัก เขาคิดว่าสูตรอาหารพวกนี้ น่าจะถูกส่งต่อให้คนอื่นได้ชิมในช่วงโควิดบ้าง เขาเลยบอกคุณย่าว่า งั้นมาทำอาหารขายกันเถอะ คนจะได้กินอาหารสูตรชาววังอร่อยๆ เพราะอย่างน้อยของอร่อยก็คงทำให้คนกินยิ้มได้ “ในช่วงโควิดผมในฐานะช่างภาพอิสระ ก็ได้รับความเดือดร้อนเช่นกัน แต่ผมก็ลุกขึ้นสู้ด้วยการทำอาหารขายทางออนไลน์
ในการรับมือกับโควิด-19 ชื่อของ อสม.อาจไม่ใช่ชื่อลำดับต้นๆ ที่คนส่วนใหญ่นึกถึง และจดจำ แต่ในความเป็นจริง บทบาทของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน หรือ อสม.ที่ทำงานด้วยหัวใจของความเป็นมนุษย์ เฝ้าระวังการแพร่ระบาด ดูแลทุกคนในชุมชนเหมือนคนในครอบครัว ถือเป็นนวัตกรรมดักจับไวรัสที่ทรงประสิทธิภาพ และมีส่วนสำคัญในความสำเร็จในภารกิจที่ยิ่งใหญ่ครั้งนี้ในฐานะผู้ปิดทองหลังพระ ขอส่งกำลังใจ ความห่วงใย และคำขอบคุณมอบให้ อสม.ทุกคนในทุกพื้นที่
การแพร่เชื้อขั้นรุนแรงของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของโลกในวงกว้าง และเป็นตัวแปรสำคัญ ที่ทำให้เกิดการ disruption ขึ้นในอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างรวดเร็วและรุนแรง จึงทำให้ตลอดระยะเวลาหลายเดือน ที่ผ่านมา เราเริ่มคุ้นชินกับกิจวัตรและการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “New Normal” กันมากขึ้น โดยขอยกตัวอย่างวิถีชีวิตใหม่ ดังนี้
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่ยาวนานกว่า 5 เดือน ส่งผลกระทบต่อผู้คนทั่วโลกในทุกมิติ รวมถึงบรรดาสัตว์ ต่างๆ อีกด้วย การมีจิตสาธารณะหยิบยื่นความช่วยเหลือเท่าที่ทำได้ เป็นการแบ่งเบาความทุกข์ยากของผู้ที่กำลังประสบปัญหาได้อีกหนึ่งหนทางหนึ่ง โดยการให้ความช่วยเหลือสังคมนั้นสามารถทำได้หลากหลายรูปแบบ มูลนิธิเอสซีจีจึงขอเป็น สะพานบุญ สะพานใจ นำตัวอย่างของการช่วยเหลือแบ่งปันให้กับสังคมในช่วงโควิด-19 ที่มีความน่าเชื่อถือ หลากหลายโครงการ ภายใต้รูปแบบการออนไลน์ที่ปลอดภัยตามหลักการของ Social Distancing มาเล่าสู่กันฟัง เผื่อท่านใดจะสนใจร่วมออกแรงกาย แรงใจ หรือ กำลังทรัพย์ ตามความถนัดหรือความสะดวกของแต่ละคน ช่วยเหลือการแพทย์และสาธารณสุข กองทุนพัฒนาโรงพยาบาลชุมชน และ รพ.สต. สู้ภัยโรคอุบัติใหม่ โควิด-19 กองทุนนี้จัดตั้งขึ้นโดย มูลนิธิแพทย์ชนบท ที่อาสาเป็นองค์กรกลางในการระดมความช่วยเหลือแก่โรงพยาบาลชุมชนกว่า 778 แห่งทั่วประเทศ โรงพยาบาลชุมชนเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการควบคุมโรคโควิด โดยช่วยให้ผู้ติดเชื้อในอำเภอได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกต้องและทันท่วงที ป้องกันไม่ให้มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ และลดความเสี่ยงในการนำโรคแพร่กระจายไปสู่ผู้อื่น ทั้งนี้ทุนที่ได้จากการบริจาคจะนำไปจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ เครื่องมือที่ขาดแคลนดูแลบุคลากร สนับสนุนกิจกรรมที่จะช่วยสร้างความปลอดภัยให้กับประชาชน เป็นต้น สามารถบริจาคสมทบทุนได้ที่บัญชีมูลนิธิแพทย์ชนบท ธนาคารไทยพาณิชย์ เลขที่บัญชี 340-201715-6 และขอข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ruraldoctor.or.th/projects/fund-covid19 กองทุนนวัตกรรมเพื่อวิจัยในการพัฒนาเทคโนโลยีทางการแพทย์ในการรักษาไวรัสโควิด -19 และไวรัสอื่นๆ ในอนาคต
“การศึกษา” คำนี้อาจจะทำให้ทุกคนนึกถึงการเรียนการสอนรูปแบบเก่า ที่อยู่ในห้องเรียน หรือการเรียนในระบบตั้งแต่อนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย ซึ่งปัจจุบันการศึกษาจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของประเทศและสังคมโลก เราจะพาทุกคนมาสำรวจกันว่า การศึกษารูปแบบใหม่ในยุค New Normal นี้มีทิศทางการปรับตัวกันอย่างไรบ้าง
มูลนิธิเอสซีจี ร่วมกับบริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) สนับสนุน ห้องตรวจหาเชื้อและคัดกรองผู้ที่มีความเสี่ยง (Modular Screening & Swab Unit) และห้องน้ำสำเร็จรูป มูลค่า 3.9 ล้านบาท
ในวิกฤตมักมีโอกาส และเป็นโอกาสที่เราจะได้เห็นเพื่อน เห็นกลุ่มคน เห็นองค์กรที่มีความถนัดแตกต่างกัน มาร่วมมือกัน เพื่อช่วยให้ประเทศของเราผ่านพ้นวิกฤตไปได้ ครั้งนี้ก็เช่นกันที่กลุ่มบริษัทน้ำตาลไทยรุ่งเรือง ผู้ผลิตน้ำตาลครบวงจรรายแรกในประเทศไทย ร่วมมือกับมูลนิธิเอสซีจี และ เอสซีจี เอ็กซ์เพรส ร่วมผลิตและขนส่งสเปรย์แอลกอฮอล์ขนาด 60 มิลลิลิตร จำนวน 100,000 ขวด
จากการที่ประเทศไทยมีรายงานผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ลดลงอย่างต่อเนื่อง อันเกิดจากความร่วมมือของคนไทยและทุกภาคส่วน นอกจากนี้ยังมีบุคลากรอีกหนึ่งกลุ่มสำคัญนั่นคือ อสม. หรือ อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จในการลงพื้นที่ค้นหากลุ่มเสี่ยงเข้าสู่กระบวนการคัดกรอง รวมถึงให้ความรู้เรื่องสาธารณสุขต่างๆ ซึ่งมีความสำคัญเช่นเดียวกับแพทย์และพยาบาล เพราะเป็นผู้เสียสละในการสู้ศึกกับโควิด-19 นับเป็นผลงานระดับโลกที่องค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทยกล่าวชื่นชม อสม. ซูเปอร์ฮีโร่ชุมชน จากอุดมการณ์ ‘เชื่อมั่นในคุณค่าของคน’ และ ‘ถือมั่นในความรับผิดชอบต่อสังคม’ ได้นำมาเป็นแนวทางในการดำเนินงานของมูลนิธิเอสซีจี ด้วยตระหนักว่าสังคมจะเข้มแข็งอย่างยั่งยืนได้ ต้องเริ่มจากทรัพยากรบุคคลที่มีคุณภาพ คือต้องเป็นทั้ง ‘คนเก่งและดี’ ซึ่ง อสม. เป็นกลุ่มบุคคลตัวอย่างที่บำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคมมาอย่างยาวนาน เสียสละและทุ่มเทปกป้องชุมชน อย่างไม่ย่อท้อ เพื่อช่วยให้เหล่าฮีโร่หัวใจอาสาได้ ทำหน้าที่ของพวกเขาได้อย่างเต็มที่มูลนิธิเอสซีจี จึงส่งต่อความห่วยใยด้วย “อสม.Kit” 600 ชุด เป็นอุปกรณ์จำเป็นสำหรับการปฏิบัติงานและดูแลระวังการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งประกอบด้วย เครื่องวัดอุณหภูมิ (Infrared Thermometer) แอลกอฮอล์ชนิดเจล สเปรย์แอลกอฮอล์ หน้ากากสะท้อนน้ำที่สามารถป้องกันละอองฝอย เสื้อกันฝน และถุงมือทางการแพทย์ โดยทั้งหมดถูกบรรจุในกระเป๋าที่พกพาได้อย่างคล่องตัว เหมาะต่อการเดินทางไปปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายผ่านเครือข่ายต่างๆ เช่น กระทรวงสาธารณสุข และเครือข่ายนักพัฒนาชุมชนทั่วประเทศ บรรยากาศการบรรจุชุด อสม.Kit โดยพนักงาน SCG จิตอาสา พร้อมลงพื้นที่ด้วยความมั่นใจ นางสาวบุรดี สันหมุด,
นับแต่การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 ที่เกิดขึ้นทั่วโลก อุปกรณ์ต่างๆ ที่ช่วยป้องกันเชื้อโรค โดยเฉพาะแอลกอฮอล์ล้างมือ (Alcohol Hand sanitizer) และหน้ากากป้องกันใบหน้า (Face Shield) ได้กลายมาเป็นสิ่งสำคัญแห่งความปกติใหม่ (New Normal) ที่ทุกคนต้องมีติดตัวยามอยู่ในพื้นที่สาธารณะ ซึ่งทำให้พฤติกรรมในด้านสุขอนามัยและการใช้ชีวิตประจำวันของคนเราเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แต่มากกว่านั้นแอลกอฮอล์ล้างมือและหน้ากากป้องกันใบหน้ายังถือเป็นตัวช่วยสำคัญในการปฏิบัติหน้าที่ของบุคคลหลากหลายอาชีพให้ลุล่วงและปลอดภัย โดยเฉพาะอาชีพที่ต้องเสียสละเป็นด่านหน้าเพื่อเราทุกคนในสังคม เช่น บุคลากรทางการแพทย์ ไม่เพียงแต่นักรบเสื้อขาวเพียงเท่านั้นที่มีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อไวรัสจากการปฏิบัติหน้าที่ หากแต่ยังมีเจ้าหน้าที่ในสาขาอาชีพอื่นๆ ที่ต้องให้บริการประชาชนด้วยความเสียสละ แม้จะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมืองในยามเกิดวิกฤตโควิด-19 หนึ่งในนั้นก็คือเจ้าหน้าที่จัดการขยะและเจ้าหน้าที่กวาดถนน ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในขณะปฏิบัติหน้าที่ เพราะต้องสัมผัสกับขยะที่อาจปนเปื้อนเชื้อโรคชนิดต่างๆ ตลอดเวลา นอกจากนั้นยังเป็นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ในขณะที่อุปกรณ์ป้องกันเชื้อโรคที่ต้องใช้งานทุกวันอย่างหน้ากากป้องกันใบหน้าและแอลกอฮอล์ที่ยังมีราคาค่อนข้างสูง ทำให้ต้องใช้อย่างจำกัด เพราะเราเห็นถึงคุณค่าและตระหนักถึงความสำคัญของทุกๆ สาขาอาชีพที่ร่วมกันฝ่าฟันวิกฤต อีกทั้งยังมีความห่วงใยพี่น้องบุคลากรที่เสียสละปฏิบัติหน้าที่แม้จะต้องเผชิญกับความเสี่ยง เพราะรู้ว่าทุกคนยังมีครอบครัวอันเป็นที่รักอยู่เบื้องหลัง และต้องดูแลทั้งกำลังกาย และกำลังใจ ส่วนหนึ่งของเหล่านักรบชุดขาวที่ได้รับแอลกอฮอล์เจล จากมูลนิธิเอสซีจี มูลนิธิฯ จึงได้ร่วมกับศูนย์พัฒนาผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จัดทำแอลกอฮอล์ที่มีคุณภาพและผ่านการรับรองจาก อย. เพื่อส่งมอบกำลังใจนี้ให้กับบุคลากรทางการแพทย์ อาทิ สถาบันบำราศนราดูร, สถาบันโรคทรวงอก, โรงพยาบาลสมเด็จพระนั่งเกล้า อีกทั้งยังส่งผ่านกรุงเทพมหานครเพื่อมอบให้กับเจ้าหน้าที่จัดการขยะ และเจ้าหน้าที่กวาดถนน ได้นำไปใช้ขณะปฏิบัติหน้าที่ รวมทั้งร่วมบริจาคเงินให้กับโรงพยาบาลที่อยู่ห่างไกลอีกหลายแห่งเพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์จำเป็นทางการแพทย์ นอกจากนี้มูลนิธิฯ
ในภาวะวิกฤตโควิด-19 มีคนมากมายที่ได้รับผลกระทบ บ้างตกงาน บ้างถูกลดเงินเดือน บ้างเจ็บป่วยบางคนหมดหวัง หมดกำลังใจในการเดินหน้า ไปต่อ แต่ท่ามกลางความหมดหวังเหล่านั้น กลับมีน้ำใจหยิบยื่นมาให้ ทำให้อย่างน้อยเราก็รู้ว่า….คนไทยไม่เคยทิ้งกัน และพร้อมจะดูแลซึ่งกันและกัน เริ่มจากดูแลคนใกล้ตัว “ถุงน้ำใจ” แทนความห่วงใย ในสถานการณ์วิกฤตของสังคมที่เกิดขึ้น หลายบริษัทต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานเป็น Work From Home (WFH) และงดการจัดกิจกรรมต่างๆ ภายในบริษัท แต่ยังคงมีบางหน้าที่ ซึ่งมีภารกิจที่ต้องเข้ามาดูแลไม่เว้นแต่ละวัน เช่น แม่บ้าน พนักงานขนย้าย พนักงานขับรถ แม้จะต้องมาปฏิบัติงานทุกวัน แต่ด้วยภารกิจที่น้อยลง ทำให้ค่าตอบแทนล่วงเวลาลดลงด้วย แม้เป็นจำนวนไม่มาก แต่สำหรับบางคนนับว่าเป็นเงินที่มีคุณค่าที่ช่วยหล่อเลี้ยงชีวิตของพวกเขาและครอบครัวให้อยู่รอดไปได้ในแต่ละเดือน มูลนิธิเอสซีจีตระหนักถึงความเดือดร้อนของพี่น้อง จึงขอส่งกำลังใจด้วยการมอบ “ถุงน้ำใจ” ซึ่งเปี่ยมไปด้วยความห่วงใย เสมือนคำขอบคุณเพื่อ ตอบแทนความรักและความเสียสละในการปฏิบัติหน้าที่อย่างทุ่มเทตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยภายในถุง “น้ำใจ” บรรจุสินค้าอุปโภค บริโภค ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต ได้แก่ ปลากระป๋อง น้ำมันพืช น้ำปลา น้ำตาล บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป สบู่ ผงซักฟอก รวมไปถึง หน้ากากผ้า และแอลกอฮอล์เจล