Skip to content

“Learn to Earn Talk”

บทพิสูจน์ของ “การเรียนรู้” ผนวกกับการเห็นคุณค่าตัวเอง คือกุญแจสู่ความยั่งยืน

ในยุคที่เต็มไปด้วยความท้าทาย การเรียนรู้คือหัวใจสำคัญที่ช่วยให้เราอยู่รอดและเติบโตได้จริง
“Learn to Earn Talk” ที่จัดขึ้นโดยมูลนิธิเอสซีจี จึงไม่ได้เป็นเพียงงานประกาศความสำเร็จ แต่เป็นการเปิดประสบการณ์ให้เราได้เข้าไปสัมผัสกับเรื่องราวของ “ต้นกล้าชุมชน” เหล่าเยาวชนคนรุ่นใหม่จากทั่วประเทศ
ผู้ลุกขึ้นมาใช้ทักษะความรู้และพลังของตัวเองสร้างการเปลี่ยนแปลงให้บ้านเกิดได้อย่างน่าทึ่ง

ตลอด 8 ปีที่ผ่านมา มูลนิธิเอสซีจีได้บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์แห่งการเปลี่ยนแปลงนี้มาอย่างต่อเนื่อง ภายใต้ โครงการต้นกล้าชุมชน ที่ไม่ได้แค่ให้เงินทุน แต่ยังมีนักพัฒนาที่เป็นที่ปรึกษา และให้การสนับสนุนอย่าง
รอบด้าน เพื่อพัฒนาศักยภาพของคนรุ่นใหม่ให้ครบทุกมิติ ทั้งทักษะความรู้เฉพาะทาง (Hard skills) และทักษะชีวิตที่จำเป็นต่อการเอาตัวรอดในยุคนี้ (Soft skills) ซึ่งนี่คือหัวใจสำคัญของแนวคิด “Learn to Earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอด” ที่เชื่อมั่นว่าการเรียนรู้ตลอดชีวิต จะเป็นกุญแจสำคัญให้เยาวชนเหล่านี้สามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และสร้างชุมชนที่เข้มแข็งได้อย่างแท้จริง ในงานเสวนาครั้งนี้ มีตัวแทนต้นกล้าชุมชนจากหลากหลายภูมิภาคมาร่วมแบ่งปันเรื่องราวที่น่าสนใจ ชวนให้ฉุกคิดและสร้างแรงบันดาลใจแก่คนอื่นๆ มากมาย

ถอดบทเรียนจาก 6 ต้นกล้า ผู้สร้างการเปลี่ยนแปลงในหลากหลายมิติ ทั้งด้านอาชีพ การเป็นผู้ประกอบการชุมชน การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ การศึกษาและการพัฒนาศักยภาพ การอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและภูมิปัญญาท้องถิ่น และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม        

โดยเรื่องราวเริ่มต้นด้วย “อุ้ม” คนึงนิตย์ ชะนะโม จากบุรีรัมย์ ผู้ก่อตั้งศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง
๙ ดี ที่ต้องการแก้ปัญหาความมั่นคงทางอาหารและสร้างพื้นที่ให้ผู้สูงอายุในชุมชนมีคุณค่าและมีรายได้อีกครั้ง ด้วยแนวทาง “เกษตรฟื้นฟู” ที่เน้นการพึ่งพาตนเองและไม่ใช้สารเคมี ผลที่ได้คือในช่วงวิกฤตโควิด-19 ชุมชนของอุ้ม ไม่เพียงแต่รอด แต่ยังมีผลผลิตเหลือเฟือสำหรับแบ่งปันผู้อื่น สามารถส่งขายและสร้างรายได้ให้กับชุมชนมากมาย เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่าภูมิปัญญาท้องถิ่นสามารถเป็นคำตอบของปัญหาในยุคสมัยใหม่ได้

ตามมาด้วย “เคม” ณัชพล พรมคำ หนุ่มน่านที่กลับบ้านเกิดเพื่อแก้ปัญหาการปลูกข้าวโพดบนพื้นที่สูง เคมทำหน้าที่เป็น “โซ่กลาง” เชื่อมโยงผู้ผลิตกับผู้บริโภค โดยไม่มุ่งหวังกำไรสูงสุด แต่ต้องการให้ชาวบ้านมีรายได้ที่มั่นคงและมีสุขภาพที่ดีจากการลดการใช้สารเคมี ปัจจุบันความมุ่งมั่นของเขาเริ่มส่งผล มีเกษตรกร25 รายที่เปลี่ยนวิถีจากการปลูกข้าวโพด และลดพื้นที่ปลูกได้มากกว่า 200 ไร่ จากนักพัฒนาชุมชน เคมได้กลายเป็นผู้ประกอบการชุมชน ที่มีบทบาทในการกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างรายได้และพัฒนาชุมชนของตนเอง ผ่านการสร้างร้านอาหาร โฮมสเตย์ และกิจกรรมการท่องเที่ยวชุมชน ให้เกิดขึ้นในพื้นที่ บ้านอภัยคีรี ทำให้คนในชุมชนมีรายได้เพิ่มมากขึ้น

อีกหนึ่งเรื่องราวที่น่าสนใจคือ “เป็ด” จักรกริช ติงหวัง จากสตูล ผู้สืบทอดเจตนารมณ์ของพ่อในการอนุรักษ์ป่าชายเลนจนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศชุมชนบ้านหลอมปืน ที่นำเสนอประสบการณ์การท่องเที่ยวที่อบอุ่นใจ และสะท้อนให้เห็นถึงวิถีชีวิตท้องถิ่นจากป่าสู่ทะเลอุทยานแห่งชาติหมู่เกาะเภตราที่เป็นอุทยานธรณีโลก โดยยูเนสโก รวมถึงการทำผ้ามัดย้อมจากดินธรรมชาติ (ปันหยาบาติก) ซึ่งช่วยสร้างอาชีพใหม่ให้คนในชุมชน

ในมิติการศึกษาและการพัฒนาศักยภาพ “อะตอม” วิชินันท์ สิงห์น้อย จากน่าน ร่วมก่อตั้งกลุ่ม
“ที่หลบฝน” ซึ่งเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้เยาวชนได้เรียนรู้และเยียวยาตนเองผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์ต่างๆ การสร้างพื้นที่และกระบวนการนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเด็กๆ ได้เรียนรู้ที่จะทำความรู้จักและเข้าใจในอารมณ์ของตัวเอง สามารถจัดการกับความรู้สึกที่หลากหลายได้ในโลกที่เต็มไปด้วยแรงกดดัน ยังมีเยาวชนอีกมากมายที่ต้องการพื้นที่ปลอดภัย เพื่อเติมเต็มทักษะชีวิตที่จำเป็นต่อการเติบโตอย่างมีคุณภาพ

ด้านการอนุรักษ์วัฒนธรรม “บอล” บุญฤทธิ์ คงสมร จากพิจิตร ซึ่งเห็นคุณค่าของประเพณีเรือยาว
ที่กำลังจะเลือนหาย บอลจึงรวบรวมภูมิปัญญาจากปราชญ์ชาวบ้านและดึงเยาวชนให้เข้ามามีส่วนร่วมผ่านการลงมือทำ (Learning by doing) จนสามารถสร้างทีมแข่งเรือและสร้างอาชีพจากวัฒนธรรมท้องถิ่นนี้ได้สำเร็จ

ปิดท้ายด้วย “เก่ง” โชคนิธิ คงชุ่ม หนุ่มนักกิจกรรมจากนครนายก ผู้ก่อตั้ง “กลุ่มใบไม้” ซึ่งทำงานด้านสิ่งแวดล้อมศึกษา เก่งเชื่อว่าการสร้างความรักต่อธรรมชาติคือจุดเริ่มต้นของการอนุรักษ์ จึงใช้กิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อปลูกฝังจิตสำนึกด้านสิ่งแวดล้อมให้เยาวชน และหวังว่าพวกเขาจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีจิตวิญญาณของนักอนุรักษ์อยู่ในตัว อีกทั้งยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจที่ส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น เพราะมีเยาวชนบางคนที่เคยเข้าร่วมกิจกรรมกับกลุ่มใบไม้ ได้เติบโตและกลับมาเป็นวิทยากรประจำให้กับกลุ่มในปัจจุบัน

ด้านศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เกษม วัฒนชัย ประธานคณะกรรมการกิจการสังคม เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน เอสซีจี ได้กล่าวถึงความสำคัญของแนวคิด Learn to Earn ว่า “Learn to Earn คือการสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับชีวิต การเรียนรู้ไม่ใช่แค่การสะสมความรู้ แต่คือการฝึกฝนทักษะให้เกิดเป็นความชำนาญ ซึ่งจะนำไปสู่การมีสัมมาชีพที่สุจริต การมีอาชีพที่เลี้ยงดูตัวเองได้ไม่เพียงแค่สร้างความมั่นคงส่วนตัว แต่ยังเป็นการสร้างความเข้มแข็งให้แก่สังคมโดยรวมด้วย ซึ่งแนวคิดนี้สอดคล้องกับหลัก ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่เน้นการพึ่งพาตนเอง พัฒนาตนเองอย่างรอบด้าน และสร้างภูมิคุ้มกันให้พร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่างๆ เป็นการสร้างความสมดุลทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

ความสำเร็จของต้นกล้าทั้งหมด คือกระจกสะท้อนแนวคิด Learn to Earn

เรื่องราวทั้งหมดนี้เป็นบทพิสูจน์ถึงพลังของแนวคิด “Learn to Earn เรียนรู้เพื่ออยู่รอด” อย่างชัดเจน คุณสุวิมล จิวาลักษณ์ กรรมการและผู้จัดการมูลนิธิเอสซีจี ได้กล่าวถึงความสำเร็จของโครงการว่า “การเรียนรู้ตลอดชีวิตคือหัวใจสำคัญของการอยู่รอดในโลกยุคนี้ และน้องๆ ต้นกล้าชุมชนคือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด
พวกเขาได้นำความรู้และประสบการณ์ที่ได้ไปสร้างอาชีพ สร้างรายได้ และสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับชุมชนของตัวเอง ซึ่งความสำเร็จที่เกิดขึ้นเป็นผลมาจากรากฐานที่สำคัญอย่าง Growth Mindset หรือ “ทัศนคติที่พร้อมจะเรียนรู้และพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่น้องๆ ได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจและยอมรับในคุณค่าของตัวเอง (Self-Esteem) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้น้องๆ มีความกล้าที่จะลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่เชื่อ โดยเริ่มจากการพัฒนาตนเองจนมองเห็นคุณค่าในตัวเอง และต่อยอดไปสู่การสร้างคุณค่าให้กับชุมชนได้ในที่สุด
การที่พวกเขาสามารถยืนได้ด้วยตัวเองและกลายเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนชุมชนคือสิ่งที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่ง นี่คือตัวอย่างที่จับต้องได้ และเราหวังว่าเรื่องราวของต้นกล้าเหล่านี้จะสร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่นๆ ในสังคมได้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงที่ดีเริ่มต้นได้จากคนเล็กๆ ในชุมชนนั่นเอง”